1. ชื่อเรื่อง (The Title)
http://www.watpon.com/Elearning/res19.htm ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า ชื่อเรื่องวิจัยนับเป็นจุดแรกที่จะดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน และทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในปัญหารวมทั้งวิธีการดำเนินการวิจัยของผู้วิจัยอีกด้วย ดังนั้นการตั้งชื่อเรื่องวิจัยจึงต้องเขียนให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่เขียนอย่างคลุมเครือ ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงต้องระมัดระวังในการตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้เหมาะสม ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
http://sirichom.rmutl.ac.th/learning/unit1/content4.html ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า การกำหนดชื่อเรื่องการวิจัย ควรจะกำหนดให้เป็นที่น่าสนใจและดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ควรจะอ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือและชัดเจนในปัญหาที่จะทำการวิจัย โดยทั่ว ๆ ไป มักนิยมตั้งชื่อปัญหาการวิจัยกันดังนี้
1. ควรตั้งชื่อเรื่องให้สั้น ใช้คำเฉพาะเจาะจง หรือสื่อความหมายเฉพาะเรื่อง หรือตัวแปรที่ จะศึกษาเท่านั้น
2. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้ตรงกับประเด็นของปัญหา อ่านแล้วสื่อความหมายทิศทางเดียว ไม่ควรใช้คำสื่อความหมายได้หลายทิศทางวกไปเวียนมาและไม่สู่ประเด็นของปัญหา
3. ควรตั้งเป็นข้อความเชิงบอกเล่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าตั้งเป็นเชิงคำถามหรือข้อความเชิง ปฏิเสธ
4. หัวข้อปัญหาที่ดีจะต้องแสดงถึงมโนภาพของตัวแปร หรือความสัมพันธ์ของตัวแปร ของปัญหานั้น ๆ
5. การตั้งชื่อหัวข้อปัญหาจะต้องระมัดระวังไม่ให้ซ้ำซ้อนกับผู้อื่น แม้ว่าประเด็นศึกษาจะ คล้ายกันก็ตาม
6. หัวข้อปัญหามีความหมายชัดเจนในตัวของมันเอง สามารถสื่อให้ผู้อ่านทราบประเด็น สำคัญว่า ศึกษาเรื่องอะไร และจะศึกษากับใคร
ตัวอย่าง : ชื่อหัวข้อปัญหาการวิจัยที่ดี
1. การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการระบบการศึกษาของสถาบันการศึกษาระดับอุดม ศึกษา
2. พัฒนาการระบบอุดมศึกษาของไทย
3. รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนริมแม่น้ำโขง เขตจังหวัดเชียงราย
4. การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาระเบียบวิธีวิจัยระหว่างนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์กับนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
5. การศึกษาเปรียบเทียบผลการสอนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับประถมศึกษาปี ที่ 3 เรื่อง สมการ โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับการเรียนแบบปกติ
http://www.drpracha.com/index.php?topic=1119.0 ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า หลักการตั้งชื่อการวิจัย มีดังนี้
1. พยายามกำหนดชื่องานวิจัยให้ง่าย สั้น กระชับและชัดเจน
2. ควรกำหนดขอบเขตของประชากรให้อยู่ในชื่อเรื่อง
3. ชื่อเรื่องต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัย
3. ชื่อเรื่องต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัย
4. พยายามให้ชื่องานวิจัยควรมีคำศัพท์(Wording)ที่เป็นคำทางวิชาการที่สามารถสืบค้นได้ง่าย หากมี Key Search (TAGS) จะทำให้งานวิจัยง่ายต่อการสืบค้นของคนอื่นๆ
สรุป
การตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้เหมาะสม มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
1. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้สั้น โดยใช้คำที่เฉพาะเจาะจง หรือสื่อความหมายเฉพาะเรื่อง และควรเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย กะทัดรัด แต่ชื่อเรื่องก็ไม่ควรจะสั้นเกินไปจนทำให้ขาดความหมายทางวิชาการ
2. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้ตรงกับประเด็นของปัญหา เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วจะได้ทราบว่าเป็นการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาอะไรได้ทันที อย่างตั้งชื่อเรื่องวิจัยที่ทำให้ผู้อ่านตีความได้หลายทิศทาง และอย่าพยายามทำให้ผู้อ่านเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากเกินความเป็นจริง
3. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยโดยการใช้คำที่บ่งบอกให้ทราบถึงประเภทของการวิจัย ซึ่งจะทำให้ชื่อเรื่องชัดเจน และเข้าใจง่ายขึ้น เช่น
3.1 การวิจัยเชิงสำรวจ มักใช้คำว่า การสำรวจ หรือการศึกษาในชื่อเรื่องวิจัยหรืออาจระบุตัวแปรเลยก็ได้ เช่น การศึกษาการใช้สารเคมีของชาวอีสาน หรือการสำรวจการใช้สารเคมีของชาวอีสาน หรือการใช้สารเคมีของชาวอีสาน เป็นต้น
3.2 การวิจัยเชิงศึกษาเปรียบเทียบ การตั้งชื่อเรื่องวิจัยในลักษณะนี้ มักจะใช้คำว่า การศึกษา เปรียบเทียบ หรือการเปรียบเทียบ นำหน้า เช่น การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านของนักเรียนในเขตและนอกเขตเทศบาล ของจังหวัดมหาสารคาม
3.3 การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ การวิจัยประเภทนี้จะใช้คำว่า การศึกษาความสัมพันธ์ หรือความสัมพันธ์ นำหน้าชื่อเรื่องวิจัย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างความขัดแย้งกับพ่อแม่และการปรับตัวของวัยรุ่น เป็นต้น
3.4 การวิจัยเชิงการศึกษาพัฒนาการ การวิจัยประเภทนี้มักใช้คำว่า การศึกษาพัฒนาการหรือพัฒนาการ นำหน้าชื่อเรื่องวิจัย เช่น การศึกษาพัฒนาการด้านการเขียนของเด็กก่อนวัยเรียนในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม
3.5 การวิจัยเชิงทดลอง การตั้งชื่อเรื่องวิจัยประเภทนี้อาจตั้งชื่อได้แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการทดลอง เช่น อาจใช้คำว่า การทดลอง การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การศึกษา การเปรียบเทียบ ฯลฯ นำหน้า หรือาจจะไม่ใช้คำเหล่านี้นำหน้าก็ได้ เช่น การทดลองเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในจังหวัดอ่างทอง การวิเคราะห์หาปริมาณของกรดอะมิโนที่จำเป็นในปลายรากข้าวโพดหลังจากแช่ในสารละลายน้ำตาลชนิดต่าง ๆ การสังเคราะห์กรดไขมันจากอะเซติลโคเอ การศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ ในยางมะละกอ การเปรียบเทียบการสอนอ่านโดยวิธีใช้ไม่ใช้การฟังประกอบ การสกัดสารอินดิเคเตอร์จากดอกอัญชัน ฯลฯ
4. ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยในลักษณะของคำนาม ซึ่งจะทำให้เกิดความไพเราะ สละสลวยกว่าการใช้คำกริยานำหน้าชื่อเรื่อง5. การตั้งชื่อหัวข้อปัญหาจะต้องระมัดระวังไม่ให้ซ้ำซ้อนกับผู้อื่น แม้ว่าประเด็นศึกษาจะ คล้ายกันก็ตาม
6. หัวข้อปัญหามีความหมายชัดเจนในตัวของมันเอง สามารถสื่อให้ผู้อ่านทราบประเด็น สำคัญว่า ศึกษาเรื่องอะไร และจะศึกษากับใคร
7. ควรตั้งเป็นข้อความเชิงบอกเล่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าตั้งเป็นเชิงคำถามหรือข้อความเชิง ปฏิเสธ
8. หัวข้อปัญหาที่ดีจะต้องแสดงถึงมโนภาพของตัวแปร หรือความสัมพันธ์ของตัวแปรของปัญหานั้น ๆ
9. ชือเรื่องต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัย
10. พยายามให้ชื่องานวิจัย ควรมีคำศัพท์ (Wording) ที่เป็นคำทางวิชาการที่สามารถสืบค้นได้ง่าย หากมี Key Search (TAGS) จะทำให้งานวิจัยง่ายต่อการสืบค้นของคนอื่นๆ
10. พยายามให้ชื่องานวิจัย ควรมีคำศัพท์ (Wording) ที่เป็นคำทางวิชาการที่สามารถสืบค้นได้ง่าย หากมี Key Search (TAGS) จะทำให้งานวิจัยง่ายต่อการสืบค้นของคนอื่นๆ
ที่มา
http://www.watpon.com/Elearning/res19.htm เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2555http://sirichom.rmutl.ac.th/learning/unit1/content4.html เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2555
http://www.drpracha.com/index.php?topic=1119.0 เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2555