วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

6.สมมติฐาน (Hypothesis)

          http://www.stks.or.th/blog/?p=2385   ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า  คำว่าสมมติฐานที่นำมาใช้ในการวิจัยนั้น หมายถึง ความคาดหวังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้จากการสรุปเป็นการทั่วไป ที่หวังว่าตัวแปร ตัวหรือหลายตัวจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง
สมมติฐานที่ดีจะต้องประกอบด้วยเกณฑ์สองอย่าง คือ
ประการแรก สมมติฐานต้องเป็นข้อความแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ประการที่สอง สมมติฐานจะต้องชัดเจน และสามารถทดสอบความสัมพันธ์ดังกล่าวได้ หากข้อความขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็จะไม่ใช่สมมติฐาน
สมมติฐานจัดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากอย่างหนึ่งในการวิจัยเพราะเป็นแหล่งเชื่อมโยงระหว่างปัญหากับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่จะตอบปัญหา สมมติฐานยังเป็นเสมือนแนวทางในการสำรวจปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับปัญหาที่กำลังทำการสืบค้นอยู่นั้น ความสำคัญของสมมติฐานพอจะประมวลได้เป็นข้อๆ ดังนี้
         2.1 การชี้ให้เห็นปัญหาชัดเจน ถ้าไม่มีสมมติฐานเป็นเครื่องชี้นำ ผู้วิจัยอาจเสียเวลาในการหาสาเหตุและการแก้ปัญหาโดยเป็นการกระทำที่ผิวเผิน แต่การตั้งสมมติฐานนั้น ผู้วิจัยจะต้องได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนถึงข้อเท็จจริงและมโนทัศน์ที่คาดว่าจะสัมพันธ์กับปัญหา แล้วแยกแยะให้เห็นข้อสนเทศที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องในเชิงความสัมพันธ์ ทั้งนี้ในกระบวนการสร้างสมมติฐาน การนิรนัยผลที่ตามมา และการนิยามคำที่ใช้นั้นจะช่วยทำให้เห็นประเด็นของปัญหาที่ทำการวิจัยชัอเจนชึ้น
         2.2 สมมติฐานช่วยกำหนดความเกี่ยวข้องระหว่างข้อเท็จจริง ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ได้รับการเลือกเฟ้นอย่างรอบคอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสืบค้นความจริง การรวบรวมข้อมูลจำนวนมากโดยปราศจากจุดหมายนั้น เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์เพราะข้อมูลเหล่านั้น ที่มิได้เลือกเฟ้นจะให้เหตุผลที่เป็นไปได้หลายหลากแตกต่างกัน จนไม่สามารถจะสรุปเป็นข้อยุติที่ชัดเจนได้ ข้อเท็จจริงที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหานั้นจะไม่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ถ้ามีสมมติฐานแล้ว จะทำให้ผู้วิจัยแน่ใจว่าควรรวบรวมข้อเท็จจริงอะไรมากน้อยแค่ไหนจึงจะเพียงพอที่จะทดสอบผลที่ตามมาได้ครบถ้วน สมมติฐานจึงช่วยในการกำหนดและรวบรวมสิ่งที่ต้องการเพื่อแก้ปัญหาวิจัยนั้น
         2.3 สมมติฐานเป็นตัวชี้การออกแบบการวิจัย สมมติฐานไม่ใช่เพียงแต่ชี้แนวทางว่าควรพิจารณาข้อสนเทศใดแต่จะช่วยบอกวิธีที่จะรวบรวมข้อมูลด้วย สมมติฐานที่สร้างอย่างดีจะเสนอแนะว่ารูปแบบการวิจัยควรจะเป็นเช่นไรจึงจะเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะที่ต้องการทราบ สมมติฐานจะบอกแนวทางถึงกลุ่มตัวอย่างแบบสอบหรือเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ จะมีวิธีการอย่างไร วิธีการสถิติที่เหมาะสมคืออะไรตลอดจนจะรวบรวมข้อเท็จจริงในสถานการณ์ใดที่เหมาะสมกับปัญหา
         2.4 สมมติฐานช่วยอธิบายปรากฏการณ์ การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่เป็นเพียงการรวบรวมข้อเท็จจริงและจัดพวกตามคุณสมบัติผิวเผินของข้อเท็จจริงเหล่านั้น เช่นไม่ใช่เพียงแต่จัดตารางบอกลักษณะของพฤติกรรมก้าวร้าว หรือเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยุวอาชญากรรมเท่านั้น แต่นักวิจัยจะต้องกำหนดว่าองค์ประกอบใดก่อให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น โดยอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์ที่น่าจะเป็นสาเหตุและผลอย่างเหมาะสม สมมติฐานที่สร้างขึ้นจากข้อเท็จจริงจะช่วยให้ผู้วิจัยมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสำรวจและอธิบายสิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังได้
         2.5 สมมติฐานช่วยกำหนดขอบเขตของข้อยุติ ถ้าหากผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานในเชิงนิรนัยไว้ ก็เท่ากับได้วางขอบเขตในข้อยุติไว้แล้ว ผู้วิจัยอาจระบุเหตุผลว่าถ้า H1 จริงแล้วข้อเท็จจริงเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นจากการทดสอบกับข้อมูลจริง ข้อเท็จจริงนั้นเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ดังนั้นข้อยุติก็จะเป็นว่า ได้รับการยืนยันหรือไม่ได้รับการยืนยัน สมมติฐานจึงให้ขอบเขตในการตความขัอค้นพบอย่างเฉียบขาดและมีความหมายกระชับ ถ้าไม่มีสมมติฐานที่เป็นการทำนายล่วงหน้าข้อเท็จจริงก็ไม่มีโอกาศที่จะได้รับการยืนยันหรือไม่ได้รับการยืนยันแต่อย่างใด

         http://edurmu.org/cai/_surawart/elearning/content/lesson5/501.html ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่าสมมติฐาน หมายถึง ข้อความที่คาดคะเนความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปหรือข้อความที่ผู้วิจัยตั้งไว้เพื่อคาดคะเนหรือ ทำนายถึงผลของการวิจัยชนิดของสมมุติฐาน
       สมมติฐานทางวิจัย (Research Hypothesis) คือ สมมติฐานที่เขียนในลักษณะของข้อความ
       สมมติฐานทางสถิติ(Statistical Hypothesis) คือ สมมติฐานที่เขียนบรรยายในรูปของ สัญลักษณ์ เชิงสถิติ โดยสัญลักษณ์ที่ใช้จะใช้แทน ค่าพารามิเตอร์ (Parameter)
ชนิดของสมมติฐานทางวิจัยแบ่งตามทิศทาง
       สมมุติฐานแบบมีทิศทาง (Directional Hypothesis) คือ สมมุติฐานที่ระบุได้แน่นอนถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรว่า สัมพันธ์ในทางใด
     สมมุติฐานแบบไม่มีทิศทาง (Nondirectional Hypothesis) คือ
       สมมุติฐานที่ระบุไม่ได้แน่นอนถึงความสัมพันธ์ของตัวแปร ว่าสัมพันธ์ในทางใด
ตัวอย่างสมมุติฐานทางวิจัย
       สมมติฐานแบบมีทิศทาง 
       1. ความคิดสร้างสรรค์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความ สัมพันธ์กันทางบวก
       2. การสูบบุหรี่กับการเป็นมะเร็งมีความสัมพันธ์กันทางลบ
       3. เด็กที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมีวินัยในตนเองมากกว่าเด็กที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย
       สมมติฐานแบบไม่มีทิศทาง 
       1. ความคิดสร้างสรรค์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความ สัมพันธ์กัน
       2. การสูบบุหรี่กับการเป็นมะเร็งมีความสัมพันธ์กัน
       3. เด็กที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบเข้มงวดกับเด็กที่ได้รับ การอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย มีวินัยในตนเอง แตกต่างกัน
       สมมติฐานทางสถิติ
       1. สมมติฐานเป็นกลาง (Null Hypothesis) คือ ใช้เขียนแทนสมมติฐานทางวิจัยแบบไม่มีทิศทาง แทนด้วยสัญลักษณ์ H0
       2. สมมติฐานไม่เป็นกลาง (Alternative Hypotesis) คือ ใช้เขียนแทนสมมติฐานทางวิจัยที่มีลักษณะตรงข้ามกับ สมมติฐานเป็นกลาง แทนด้วยสัญลักษณ์ H1



        http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/hypothysis1.htm  ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า สมมติฐาน หมายถึง ข้อสมมติฐานที่ใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผลในการทดลองหรือการวิจัย เป็นข้อความที่แสดงถึงการคาดการถึงผลการวิจัยที่จะได้รับและสามารถทดสอบได้ นอกจากนี้อาจหมายถึงการคาดการณ์หรือการอธิบาย ปรากฏการณ์ระหว่างตัวแปรมากกว่า 2 ตัวแปรขึ้นไป ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไร
ประโยชน์ของสมมติฐาน
        1. ช่วยชี้แนะให้ผู้วิจัยพิจารณาชนิดของตัวแปรที่สำคัญ ข้อมูลที่จะเก็บ ชนิดของเครื่องมือที่เหมาะสม และวิธีการเก็บข้อมูล
        2. ช่วยเป็นกรอบของการดำเนินการวิจัยให้เฉพาะเจาะจงมากกว่าวัตถุประสงค์ ในแง่ของการพิจารณารูปแบบการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
        3. สามารถสร้างทฤษฎีใหม่ขึ้นได้ รวมทั้งเป็นการทดสอบทฤษฎีเก่าด้วย

ชนิดของสมมติฐาน  สมมติฐานแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้
        1. สมมติฐานทางวิจัย เป็นข้อความที่เขียนคาดการณ์ อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไป
        2. สมมติฐานทางสถิติ เป็นข้อความสั้นๆ ที่เขียนโดยใช้สัญลักษณ์ทางสถิติแทนข้อความที่เขียนเต็มในสมมติฐานทางวิจัย

หลักการเขียนสมติฐานการวิจัย
        1. ควรประกอบไปด้วยตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัว เช่น ให้ X เป็นตัวแปรอิสระ และให้ Y เป็นตัวแปรตาม
        2. ควรระบุถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรซึ่งกันและกันไว้อย่างชัดเจน เช่น X มีความสัมพันธ์กับ Y และระบุทิศทางของความสัมพันธ์ถ้าสามารถระบุได้
        3. สามารถทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรได้ด้วยวิธีการทางสถิติ
        4. ภาษาที่ต้องใช้ต้องเฉพาะเจาะจง เข้าใจง่าย อ่านแล้วมีความหมายชัดเจน

ข้อเสนอแนะในการเขียนสมมติฐาน
        1. ควรเขียนสมมติฐาน หลังจากทบทวนวรรณคดีที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดแล้ว การทดสอบสมมติฐานโดยไม่ทบทวนวรรณคดีให้เพียงพอจะทำให้การตั้งสมมติฐานผิดพลาด
        2. สมมติฐานต้องเขียนเป็นประโยคบอกเล่าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้น และตัวแปรตาม พร้อมทั้งระบุทิศทางของความสัมพันธ์ หรือทิศทางของความแตกต่างในลักษณะเปรียบเทียบไว้อย่างชัดเจน ยกเว้นการวิจัยบางเรื่องที่ไม่สามารถระบุทิศทางความสัมพันธ์หรือทิศทางความแตกต่างได้
        3. ประโยคของสมมติฐานแต่ละข้อควรเป็นประโยคสั้นๆ ใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย ไม่กำกวน ส่วน คำศัพท์เกี่ยวกับตัวแปรต้องระบุความหมายให้ชัดเจน
        4. สมมติฐานต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและอยู่ในกรอบของปัญหาการวิจัยเท่านั้น อย่าตั้งสมมติฐานที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือออกนอกกรอบปัญหาการวิจัย
        5. ในปัญหาการวิจัยเรื่องหนึ่ง อาจเขียนสมมติฐานได้หลายข้อ แต่ละข้อให้เขียนประเด็นใดประเด็นหนึ่งของปัญหาวิจัยเท่านั้น ไม่ควรเขียนปัญหาการวิจัยในหลายประเด็นเข้าไว้ในสมมติฐานข้อเดียวกัน
        6. สมมติฐานที่ตั้งขึ้น ควรเรียงลำดับข้อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในการทำวิจัย

        สมมติฐานที่ตั้งขึ้นไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป อาจจะผิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของข้อมูล
ประเด็นสำคัญอยู่ที่การตั้งสมมติฐาน ต้องยึดเหตุผลทางตรรกะวิทยาให้มากที่สุด และสมมติฐานที่ตั้งขึ้น ถ้าสามารถระบุทิศทางในแง่ของการเปรียบเทียบหรือแสดงความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจนแล้ว จะช่วยชี้แนวทางการเลือกสถิติทดสอบแบบ ทางเดียว หรือแบบสองทางได้ด้วย นอกจากนี้การวิจัยบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องตั้ง สมมติฐานก็ได้เช่น การวิจัยเชิงสำรวจ หรือการวิจัยเชิงพรรณนา


         สรุป
         สมมติฐาน หมายถึง ข้อสมมติฐานที่ใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผลในการทดลองหรือการวิจัย เป็นข้อความที่แสดงถึงการคาดการถึงผลการวิจัยที่จะได้รับและสามารถทดสอบได้ นอกจากนี้อาจหมายถึงการคาดการณ์หรือการอธิบาย ปรากฏการณ์ระหว่างตัวแปรมากกว่า 2 ตัวแปรขึ้นไป ว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไร
หลักการเขียนสมติฐานการวิจัย
        1. ควรประกอบไปด้วยตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัว เช่น ให้ X เป็นตัวแปรอิสระ และให้ Y เป็นตัวแปรตาม
        2. ควรระบุถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรซึ่งกันและกันไว้อย่างชัดเจน เช่น X มีความสัมพันธ์กับ Y และระบุทิศทางของความสัมพันธ์ถ้าสามารถระบุได้
        3. สามารถทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรได้ด้วยวิธีการทางสถิติ
        4. ภาษาที่ต้องใช้ต้องเฉพาะเจาะจง เข้าใจง่าย อ่านแล้วมีความหมายชัดเจน

เอกสารอ้างอิง
http://www.stks.or.th/blog/?p=2385  เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2556
http://edurmu.org/cai/_surawart/elearning/content/lesson5/501.html  เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2556
http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/hypothysis1.htm  เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น